ยุคนี้ไม่ว่าจะเป็นสินค้าหรือบริการไหน ๆ ก็สามารถซื้อหรือมองหาได้บนโลกออนไลน์ทั้งนั้น แน่นอนว่าเมื่อของต่าง ๆ ย้ายไปอยู่ในโลกออนไลน์ได้ กระเป๋าสตางค์ของเราก็ย้ายไปอยู่ในโลกออนไลน์ได้เช่นกัน

E-Wallet คืออะไร

นักช้อปหลาย ๆ คน น่าจะเคยได้ยินคำว่า E-Wallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัล กันมาบ้างแล้ว ซึ่งเจ้า E-Wallet นี้ก็เปรียบเสมือนกระเป๋าเงินอีกใบของเราบนโลกออนไลน์นั่นเอง โดย E-Wallet หรือกระเป๋าเงินดิจิทัลนี้ถูกออกแบบมาในรูปแบบของแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ เพื่อสะดวกต่อการใช้จ่ายหรือชำระเงินโดยไม่ผ่านธนาคาร

ความง่ายและสะดวกสบายของการทำธุรกรรมผ่าน E-Wallet คือการที่เราสามารถใช้จ่ายสินค้าหรือบริการต่าง ๆ ในชีวิตจริงหรือในออนไลน์ได้ โดยไม่จำเป็นต้องพกเงินสดติดตัว พูดง่าย ๆ คือแค่มีโทรศัพท์เครื่องเดียวก็สามารถซื้อของกินของใช้ จ่ายค่าอินเทอร์เน็ต โรงแรม ตั๋วเครื่องบิน หรือตั๋วหนังได้แล้ว

การใช้งานแอปพลิเคชัน E-Wallet

การใช้งาน E-Wallet ไม่ได้ยากอย่างที่คิด เพียงเราเติมเงินหรือโอนเงินเข้าไปในแอปพลิเคชันผ่านร้านสะดวกซื้อ หรือผ่านธนาคารก็ได้ อารมณ์เหมือนเราไปกด ATM ถอนเงินจากธนาคารมาใช้ แต่เปลี่ยนที่เก็บเงินจากกระเป๋าสตางค์เป็นโทรศัพท์ของเราแทน

เมื่อเรามีเงินในแอปพลิเคชันเรียบร้อย เราก็สามารถใช้จ่ายออนไลน์ผ่านการตัดเงินอัตโนมัติ หรือใช้จ่ายแบบออฟไลน์ก็โดยการสแกน QR Code ที่หน้าร้านนั้น ๆ เพื่อชำระเงินได้เหมือนกัน ซึ่งวิธีการแบบนี้ก็จะช่วยลดการสัมผัสเงินสดและเพิ่มระยะห่างได้ดีมาก ๆ

E-Wallet ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลาย และโปรโมชั่นสุดคุ้มค่า

นอกจากความง่ายและสะดวกสบายในการใช้งาน E-Wallet แล้ว ทุกคนยังจะได้รับประโยชน์จากการใช้กระเป๋าเงินดิจิทัลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเติมเงิน จ่ายบิล จองบริการต่าง ๆ ผ่านมือถือได้

รู้หรือไม่ว่า ทุกวันนี้เราสามารถเติมเงิน MRT, EasyPass หรือแม้แต่จองตั๋วเครื่องบินผ่าน ShopeePay ซึ่งเป็นผู้ให้บริการด้านการชำระเงินผ่าน Mobile Wallet แบบครบวงจรบน Shopee ได้แล้ว และที่สำคัญยังมีโปรโมชั่นมากมายตลอดทั้งปีที่ช่วยให้เราใช้จ่ายอย่างคุ้มค่ามากยิ่งขึ้นด้วย

มั่นใจใช้ E-Wallet ปลอดภัยแน่นอน

พอเป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หลายคนก็น่าจะมีความกลัว หรือไม่มั่นใจอยู่พอตัว ซึ่งระบบ E-Wallet ของแต่ละบริษัทนั้นก็จะถูกออกแบบมาให้มีวิธีรักษาความปลอดภัยที่ต่างกันออกไป สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยของ ShopeePay นั้นออกแบบมาให้มีระบบความปลอดภัยทั้งหมด 3 ชั้นด้วยกัน

โดยชั้นแรกผู้ใช้ทุกคนจะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนแบบ KYC หรือ Know Your Customer ด้วยรูปถ่าย บัตรประชาชน และที่อยู่ ตามพ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หลังจากนั้นระบบจะป้องกันแอคเคาท์ของเราด้วยการส่ง OTP หรือ One Time Password ก่อนล็อคอินเข้าใช้เป็นชั้นที่สอง เพื่อยืนยันว่าอุปกรณ์กำลังล็อคอินเป็นของเราจริง ๆ และชั้นสุดท้ายคือการใส่รหัสผ่าน 6 หลักเพื่อยืนยันการชำระเงินเมื่อเราจะซื้อสินค้า

สรุปได้ว่าการใช้ E-Wallet นั้นปลอดภัย สะดวกสบาย คุ้มค่า และไม่ได้ยากอย่างที่ใครหลายคนคิด ลองเปิดใจและก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดอย่างเต็มรูปแบบกันเถอะ และแม้ว่าระบบ E-Wallet ปัจจุบันจะมีความปลอดภัยที่สูงมาก ๆ แต่ผู้ใช้อย่างเราก็อย่าลืมป้องกันตัวเอง โดยการไม่แชร์หรือส่งต่อหมายเลข OTP และรหัสผ่านให้กับคนอื่น ๆ ด้วยนะ!

สำหรับผู้ที่สนใจคอนเทนต์ดีๆ เกี่ยวกับการเงินดิจิทัล เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ https://seaacademy.co/program_type/digital-finance-101/